NEXT : เด็กจะใช้ชีวิตให้อยู่ดีมีสุขได้อย่างไร ในโลกอนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านกายภาพที่มีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นมากมาย สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรงและการตัดสิน รวมไปถึงการพัฒนาอย่างรวดเร็วในการเข้าสู่ยุคดิจิทัล
NOW : ชวนกันมาทบทวนชีวิตในปัจจุบัน เรามีต้นทุนอะไรบ้างและเพิ่มทุนอะไรได้ เพื่อเป็นการสร้างอนาคตอย่างมีกรรมคือการกระทำที่จะทำให้ชีวิตเดินต่อไปได้แบบที่ลูกมีภูมิคุ้มกันความสุขและความทุกข์
ความสุขคืออะไร
คำตอบย่อมมีหลากหลายขึ้นกับการให้ความหมายในการมีชีวิตของแต่ละคน และในความคิดของคนหลายคนเราไม่จำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันความสุข เพราะความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการแต่ในความเป็นจริงแล้ว เราก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันความสุขให้กับลูกเช่นกัน เพราะการเพลิดเพลินกับความสุขทำให้คนไม่สามารถตั้งรับกับความทุกข์ที่ต้องเจอได้ และถ้ามองไปที่ความทุกข์นั่นก็คือด้านตรงข้ามของความสุข จึงอยากชวนคิวชวนมองนิยามความทุกข์ในแง่มุมของพุทธศาสนาเพื่อที่จะทำให้เห็นความสุขและความทุกข์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
'แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์
แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์'
ทุกข์แบบนี้เราคงคุ้นเคยว่าเป็นความทุกข์อยู่แล้ว เว้นแต่การเกิดที่เราอาจมองไม่เห็นว่าแฝงความทุกข์มาแล้วตั้งแต่ต้น แต่ทุกข์แบบที่จะอ่านต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คนเรามักคิดไม่ถึงว่าจะนำมาซึ่งความทุกข์
‘ความประสพพบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์’
อะไรที่ใจเรายอมรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงนั้น ล้วนเป็นความทุกข์ แต่เมื่อใดที่ใจเรายอมรับได้ ทุกข์จะกลายเป็นพ้นทุกข์ได้ทันทีด้วยความคิดที่ถูกต้อง ความสุขง่ายๆ จะเกิดขึ้นทั้งกับตัวเราและผู้อื่น จุดนี้คือการเติบโตทางจิตวิญญาณที่ชุดความรู้นี้นำมาเป็นเครื่องมือให้ 'ผู้นำแห่งสติ' สอบให้ผ่านทุกด่านของชีวิต แล้วรวมพลังกัน...สร้างโลกโดยผ่านลูก
ผู้นำแห่งสติ
โปรแกรมพัฒนาผู้นำแห่งสติในชุดความรู้นี้ มิใช่เริ่มจากการคิดจะไปนำใครหรืออบรมเพื่อให้ใครไปนำใคร แต่เริ่มจากการชวนให้พ่อแม่ได้ตระหนักรู้ในสุขทุกข์ของตนเองและผู้อื่น เข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ เกิดแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองจากการเป็นทาสของอารมณ์ที่อึดอัดหนักอึ้งและผลักดันให้เราขาดสติจนมีการคิด พูด ทำ สิ่งที่ทำร้ายตัวเองและคนอื่น เป็นการเชิญชวนให้พ่อแม่เปลี่ยนจาก ‘เหยื่อเป็นหยุด’ เหยื่อในทีนี้หมายถึงการที่พ่อแม่ตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์ของตนเองและลูกก็เป็นเหยื่อจากการกระทำตามอารมณ์ของพ่อแม่ มาเป็นหยุดคือการหยุดภาวะอารมณ์ด้วยการกลับมาสติรู้เท่าทันตนเอง นี่คือจุดสำคัญที่จะทำให้คนพัฒนาตนให้เป็นนายเหนืออารมณ์ ผู้นำแบบนี้จึงจะเป็นผู้นำที่สามารถสร้างครอบครัว สร้างลูก สร้างองค์กร สร้างสังคม ที่อยู่เย็นเป็นสุข พ้นทุกข์ร่วมกันได้
กลุ่มเป้าหมายของชุดความรู้
1. พ่อแม่ที่ต้องการพัฒนาตนเองให้เป็น 'ผู้นำแห่งสติ'
2. องค์กรที่ต้องการโปรแกรมพัฒนาบุคลากรที่เป็นพ่อแม่ให้เป็น 'ผู้นำแห่งสติ'
3. กระบวนกรที่ทำงานกับกลุ่มพ่อแม่และครอบครัวที่ต้องการพัฒนาตนเองให้เป็น 'ผู้นำแห่งสติ'
เคล็ดลับการออกแบบการเรียนรู้อย่างมีความสุข
ท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถานให้แนวทางที่เป็นเคล็ดลับในการออกแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างศานติไว้ว่า
‘คนสมัยนี้มีความเครียดและใช้ชีวิตภายใต้ความกดดัน การเรียนรู้ใดๆ ต้องทำให้เขามีความสุขสบายก่อน ทำอย่างไรก็ได้ให้เขารู้สึก โล่ง โปร่ง เบา เป็นอันดับแรก’
เมื่อใจเปิดกว้าง การพัฒนาจิตให้ละเอียดอ่อนและเปลี่ยนสู่สภาวะความสุขระดับสูงขึ้นจะตามมา ตามแนวทางของเสถียรธรรมสถานที่นิยามการปฏิบัติการสร้างความสุขด้วยหลักธรรมทางพุทธศาสนาสามารถสร้างความสุขได้ 4 ระดับ (1) สนุก (2) สบาย (3) สงบ (4) สันติ
สนุก ทำให้คนเกิดประสบการณ์ทางกายผ่านอายตนะ 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ใช้เทคนิคที่หลายหลายตรงตามจริตของคนเพื่อทำให้เกิดผัสสะอารมณ์และความคิดที่สนุกเพื่อเป็นการจูงจิตสู่การฝึกสติและสมาธิแบบง่าย เข้าใจและเข้าถึงคนทุกวัย
สบาย ใช้หลักสัปปายะ 7 (อาวาสสัปปายะคือที่อยู่ที่เหมาะสม, โคจรสัปปายะคือการเดินทางและชุมชนที่เหมาะสม, ภัสสสัปปายะคือการพูดคุยที่เหมาะสมควรแก่การสร้างความรู้, ปุคคลสัปปายะคือบุคคลที่มีความรู้ที่เหมาะสมมีทักษะในการให้ปัญญา, โภชนสัปปายะคืออาหารที่เกื้อกูลต่อสุขภาพ, อุตุสัปปายะคืออากาศและธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะสม, อิริยาปถสัปปายะคือการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมพอเหมาะพอดี) ในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่เกื้อกูลให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เปิดใจในการเรียนรู้และใช้วิถีชีวิตตลอด 24 ชั่วโมงเป็นการพัฒนาจิตได้
สงบ ความเงียบกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนในเมืองใหญ่โหยหาเพื่อกลับมาอยู่กับลมหายใจของตนเอง ช้าลงสักนิด ไม่ต้องกังวลกับการถูกเปรียบเทียบและตัดสินว่า ดี-ชั่ว ถูก-ผิด สวย-หล่อ หนุ่มสาว-แก่ชรา เก่งกาจ-อ่อนด้อย สงบแรกคือกายวิเวก คือการได้อยู่กับตัวเองอย่างปราศจากความวุ่นวาย สงบที่สองคือจิตวิเวกไ่ม่ยึดติดกับอารมณ์ที่ผ่านมาและผ่านไปเมื่อใจกระทบก็ไม่กระเทือนกับอารมณ์ที่มากระทบ สงบที่สามคืออุปธิวิเวกไม่ยึดติดกับความเอาถูกเอาผิด เปิดใจกว้างละวางอคติ เรียนรู้โลกภายนอกและโลกภายในตนเองอย่างเข้าใจว่าเป็นเพียงแค่ประสบการณ์เพื่อการพัฒนาจิตใจ
สันติ การกลับไปอ่อนโยนและเข้าใจกับความเจ็บปวด ความกลัว ความวิตกกังวลในใจตนเอง ยอมรับความไม่น่ารักความผิดพลาดของตนเองอย่างพร้อมแก้ไข เพื่อทำให้เกิดสันติในการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น สิ่งอื่น หรือแม้แต่ธรรมชาติที่โอบล้อมเรา พัฒนาจิตใจให้มีความเป็นมิตรกับตัวเอง เป็นมิตรกับคนอื่น จนยอมรับความแตกต่างคุณสมบัติทางจิตเหล่านี้จะทำให้ใจเราเบาลงเพราะไม่มัวส่งใจไป เอ๊ะ! และ ทำไม? กับทุกเรื่องที่เกินจำเป็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น