บทนำ
สร้างลูกด้วยการสร้างโลก
คนรุ่นสร้างลูก หมายถึง วัยทำงานที่เป็นคนหนุ่มสาวในองค์กรที่มีลูกซึ่งจากงานวิจัยเรื่อง ’ครอบครัวทางเลือกและการคงอยู่ของสถาบันครอบครัว’ โดย วฤษสพร ณัฐรุจิโรจน์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ภาคภาษาไทยสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปะ ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2560 พบว่าสังคมไทยในปัจจุบันมีครอบครัวตามอุดมคติซึ่งหมายถึงครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ทำหน้าที่อบรมเลี้ยงดูลูกด้วยกันมีจำนวนน้อยลง ในขณะที่ครอบครัวประเภอทอื่นๆ หรือครอบครัวทางเลือก โดยเฉพาะครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว และ ครอบครัวที่มีพ่อแม่อยู่ในวัยเยาว์มีจำนวนมากขึ้น เมื่อครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องประสบกับวิกฤตการณ์ที่ทำให้หน้าที่ของสมาชิกในครอบครัวต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้ที่เป็นพ่อแม่ต้องเผชิญกับวิกฤตครอบครัวและหากไม่สามารถข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปได้ก็จะส่งผลกระทบต่อลูกในภายภาคหน้า
เนื่องจากครอบครัวเป็นสถาบันที่เป็นหน่วยเล็กที่สุดในโครงสร้างของสังคมและมีบทบาทมากที่สุดสถาบันหนึ่งเนื่องจากเป็นสถาบันที่สามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศและในขณะเดียวกันสถาบันครอบครัวก็กลับสร้างบุคลากรของประเทศที่ด้อยคุณภาพได้เช่นกัน
โครงการขับเคลื่อนครอบครัวอบอุ่นด้วยสติในองค์กร จึงให้ความสำคัญต่อกลุ่มคนที่อยู่ในวัยที่ต้องสร้างลูกคือคนในองค์กรที่มีลูกและต้องมีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูกเป็น 1 ใน 3 ของกลุ่มเป้าหมาย ในการพัฒนาผู้นำแห่งสติโดยเรียกว่า 'กลุ่มสร้างลูก' และกำหนดกลุ่มเป้าหมายคือพ่อแม่ที่มีลูกตั้งแต่กำลังตั้งครรภ์จนถึงมีลูกที่อายุไม่เกิน 14 ปี
ลูกเป็นอย่างไรโลกเป็นอย่างนั้น
เสถียรธรรมสถานโดยท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถานทำงาน ‘สร้างโลกโดยผ่านเด็ก’ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเสถียรธรรมสถานเพราะเห็นความสำคัญของการสร้างต้นทุนทางสังคมที่สำคัญของโลกคือทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ด้วยแนวคิด ‘อัจฉริยะเป็นไม่ได้ทุกคนแต่อริยะเป็นได้ทุกคน’ และ ‘ยิ่งเล็กเท่าไหร่ยิ่งง่ายเท่านั้น’ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจชีวิตจะทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตได้อย่างสุขง่ายทุกข์ยากได้ตั้งแต่เล็กเพื่อให้เด็กเติบโตอย่างเข้าใจโลก มองความลำบากเป็นการเติบโต มองปัญหาเหมือนหินลับมีดที่ทำให้ชีวิตของเราคมขึ้น
ท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต จึงเปิดพื้นที่ให้เสถียรธรรมสถานเป็นเรือนเพาะชำอริยชนคนรุ่นใหม่ที่มีธรรมอยู่ในวิถีชีวิต ด้วยวิธีการสื่อสารและการทำงานกับพ่อแม่อย่างจริงจังผ่านหลายโครงการ ‘จิตประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์’ ‘โรงเรียนพ่อแม่’ และ ‘ISV Club’ พ่อแม่และเด็กจากโครงการต่างๆ เหล่านี้จึงเรียกท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ว่า ‘คุณยายจ๋า’ เสถียรธรรมสถานจึงเปรียบเสมือนชุมชนที่เปิดโอกาสให้ทุกครอบครัวได้เข้ามาร่วมเรียนรู้อย่างที่ทุกคนเป็นวงศาคณาญาติ เป็นย่า ยาย พี่ ป้า น้า อา ทำให้เด็กๆได้เติบโตอย่างมีครอบครัวใหญ่อันจะเป็นการบ่มเพาะเด็กให้ ‘พึ่งตนเองได้ ให้คนอื่นเป็น’
ด้วยแนวคิดนี้สังคมจะได้เด็กที่เป็นคนสงบเย็น เป็นประโยชน์ ไม่ว่าลำบากอย่างไรก็จะทำให้สำเร็จได้ด้วยปัญญา สังคมอุดมปัญญาจากการบ่มเพาะเด็กที่มีลักษณะเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นในสังคมไทย สังคมโลก อย่างที่พ่อแม่ต้องรู้ว่า ถ้าทำในเหตุเราก็ปฏิเสธผลไม่ได้ และนี่คือสิ่งที่ท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ชวนพ่อแม่ทุกคนมาลงแขกลงขันลงทุนร่วมกันเพื่อ ‘สร้างโลกผ่านลูกของเรา’
เลี้ยงลูกอย่างไม่มีลูกฉันลูกเธอมีแต่ลูกของเรา
วงศาคญาติกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมระหว่างครอบครัวและช่วยกันสร้างเด็กให้เป็นอริยชน เพราะรู้การการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบันที่การมีครอบครัวใหญ่ที่ช่วยกันเลี้ยงลูกแทบจะหายไปจากสังคมไทยทำให้ครอบครัวทางเลือกที่ต้องเจอกับปัญหาและความเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงลูกมีทางออก การสร้างสังคมที่มาช่วยกันเลี้ยงลูกร่วมกันจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้พ่อแม่และเด็กมีทางออกเมื่อเจอกับปัญหาและทุกการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของคนหมู่มากย่อมเกิดปัญหาดังนั้นการทำให้เกิดความคิดเห็นที่ถูกต้องเมื่อมาอยู่ร่วมกันคือคำสอนที่ท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ได้ให้ไว้กับพ่อแม่ทุกคนคือ ‘ขอให้ทุกคนช่วยกันเลี้ยงลูกอย่างไม่มีลูกฉันลูกเธอมีแต่ลูกของเรา’ และด้วยคำสอนนี้ทำให้เกิดกลไกสำคัญที่ทำให้เป้าหมายของการพัฒนาไปอยู่ที่เด็กและลดปัญหาการขัดแย้งอันเนื่องมาจากความคิดเห็นส่วนตน เพื่อประโยชน์ตนได้อย่างมีนัยสำคัญ
สร้างสังคมองค์กรที่ช่วยกันเลี้ยงลูกอย่างมีสติ
เมื่อผู้ใหญ่ที่อยู่รายล้อมตัวเด็กเป็นผู้ใหญ่ที่มีสัมมาทิฐฐิเด็กก็เดินอยู่บนมรรคภาวนาคือหนทางที่จะมีชีวิตอย่างสุขง่ายทุกข์ยาก ใช้ชีวิตอย่างสงบเย็นและเป็นประโยชน์ได้ นี่คือแนวทางที่เสถียรธรรมสถานได้ถอดองค์ความรู้กว่า 33 ปีในการทำงานเด็กออกมาอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถนำองค์ความรู้ไปขยายต่อยังองค์กรที่สนใจ อันจะเป็นการขยายสังคมแห่งการเรียนรู้ออกไปสู่สังคมที่เป็นองค์กร ที่ทำงาน และชุมชนอื่นๆ ด้วยการสกัดชุดความรู้จากการทำงานเด็กและครอบครัวออกมาเป็นหลักสูตรที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัยของเด็ก เมื่อหลายหลักสูตรมารวมกันจึงเกิดเป็นชุดความรู้ที่องค์กรสามารถเลือกและนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบริบทของพื้นที่และองค์กร โดยมีผู้ใหญ่ พ่อแม่ เป็นผู้ที่จะช่วยกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยทำให้เด็กเติบโตอย่างมั่นคง ทำให้สถาบันครอบครัวสามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณค่าของสังคมโลกได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น